logo
กรมธนารักษ์
สำนักงานธนารักษ์พื้นที่สมุทรสาคร
THE TREASURY
DEPARTMENT
MENU
  • A
  • A
  • A

เกี่ยวกับจังหวัด

 ตราสัญลักษณ์จังหวัดสมุทรสาคร

        

   

       

                

 

ประวัติความเป็นมาของจังหวัดสมุทรสาคร

        สมุทรสาครเป็นจังหวัดชายทะเล ตั้งอยู่ปากแม่น้ำท่าจีน หลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่าในอดีตมีชุมชนใหญ่   เรียกว่า  "บ้านท่าจีน"  ตั้งอยู่บริเวณปากอ่าวไทย ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ แห่งกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ.2099) ได้โปรดให้ยก "บ้านท่าจีน" ขึ้นเป็น "เมืองสาครบุรี" เพื่อเป็นหัวเมืองสำหรับเรียกระดมพลเวลาเกิดสงครามแ ละเป็นเมืองด่านหน้าป้องกันผู้รุกรานทางทะเล ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงโปรดให้เปลี่ยนชื่อเมืองสาครบุรี เป็น "เมืองสมุทรสาคร" และในปี พ.ศ.2456 รัชกาลที่ 6 ได้ทรงโปรดให้ทางราชการเปลี่ยนคำว่า "เมือง" เป็น "จังหวัด" ทั่วทุกแห่งในพระราชอาณาจักร เมืองสมุทรสาคร จึงได้เปลี่ยนเป็น "จังหวัดสมุทรสาคร" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นมาจนถึงทุกวันนี้

          อนึ่งในปี พ.ศ.2440 รัชกาลที่ 5 ได้ทรงมีพระราชดำริที่จะสร้างสรรค์ความเจริญ ให้แก่ท้องถิ่น โดยใช้รูปแบบการปกครองแบบสุขาภิบาล และเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2448 ได้ทรงมีพระบรมราชโองการให้ยกฐานะตำบลท่าฉลอมเป็นสุขาภิบาล เรียกว่า "สุขาภิบาลท่าฉลอม" จังหวัดสมุทรสาคร จึงถือได้ว่าสุขาภิบาลท่าฉลอม เป็นสุขาภิบาลแห่งแรกในหัวเมืองของประเทศไทย

 ที่ตั้งอาณาเขต

          จังหวัดสมุทรสาครเป็นจังหวัดชายทะเล ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำท่าจีนในเขตพื้นที่ภาคกลางตอนล่างของประเทศไทย ประมาณเส้นรุ้งที่ 130 องศาเหนือ และเส้นแวงที่ 100 องศาตะวันออก เป็นจังหวัดปริมณฑล ห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 30 กิโลเมตร มีพื้นที่ 872.347 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 545,216 ไร่ มีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้

ทิศเหนือ

ติดต่อกับจังหวัดนครปฐม
ทิศใต้ ติดทะเลอ่าวไทย
ทิศตะวันออก ติดต่อกับกรุงเทพมหานคร
ทิศตะวันตก

ติดต่อกับจังหวัดสมุทรสงคราม และจังหวัดราชบุรี

 

แผนที่จังหวัดสมุทรสาคร

                  

      จังหวัดสมุทรสาคร หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "มหาชัย เป็นจังหวัดเล็ก ๆ ตั้งอยู่บนปากน้ำท่าจีน ห่างจากทะเลเพียง 2 กิโลเมตร และห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 36 กิโลเมตร เป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่มีบันทึกไว้ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เมื่อคราวพระเจ้าเสือเสด็จประพาสทางชลมารคกำเนิดเป็นเรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์ผู้จงรักภักดี   

 

 

ลักษณะภูมิประเทศ

จังหวัดสมุทรสาคร มีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเลสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1.00 - 2.00 เมตร มีแม่น้ำท่าจีนไหลผ่านตอนกลางจังหวัด ไหลคดเคี้ยวตามแนวเหนือใต้ลงสู่อ่าวไทยที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร ระยะทางยาวประมาณ 70 กิโลเมตร พื้นที่ตอนบนในเขตอำเภอบ้านแพ้วและอำเภอกระทุ่มแบนมีความอุดมสมบูรณ์ของดินและมีโครงข่ายแม่น้ำลำคลองเชื่อมโยงถึงกันกระจายอยู่ทั่วพื้นที่กว่า 170 สาย จึงเหมาะที่จะทำการเพาะปลูกพืชนานาชนิด และบางส่วนเป็นย่านธุรกิจ อุตสาหกรรมและที่อยู่อาศัย พื้นที่ตอนล่างของจังหวัดในเขตอำเภอเมืองสมุทรสาครอยู่ติดชายฝั่งทะเลยาว 41.8 กิโลเมตร จึงเหมาะที่จะประกอบอาชีพประมงทะเล เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งและทำนาเกลือ

ลักษณะภูมิอากาศ

จังหวัดสมุทรสาคร มีลักษณะภูมิอากาศเป็นแบบฝนเมืองร้อน เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากลมบก ลมทะเล และมีลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดผ่าน ในช่วงฤดูร้อน จึงทำให้มีความชื้นในอากาศสูง มีฝนตกปานกลาง ปริมาณเฉลี่ย 1,120 มิลลิเมตรต่อปี อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 26-28 องศาเซลเซียส มีความชื้นสัมพัทธ์ต่ำสุด 50 สูงสุด 95  

จังหวัดสมุทรสาครแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 3 อำเภอ

คือ อำเภอเมืองสมุทรสาคร อำเภอกระทุ่มแบน อำเภอบ้านแพ้ว 

 

   

 ประวัติความเป็นมาของ...ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร

      เจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร หรือเจ้าพ่อวิเชียรโชติ แกะสลักด้วยไม้โพธิ์ มีลักษณะคล้ายองค์พระสยามเทวาธิราช อยู่ในท่าประทับมือบนเกี้ยว ซึ่งแกะสลักลวดลายงดงามวิจิตร และปิดทองคำเปลวบริสุทธิ์ทับไปอีกชั้นหนึ่ง มีความสูงประมาณ ๑ ศอกเศษประดิษฐานอยู่ในศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร เป็นที่เคารพสักการะของชาวสมุทรสาครและจังหวัดใกล้เคียง เปรียบเสมือนศูนย์รวมจิตใจของประชาชน โดยเฉพาะชาวประมงและคนไทยเชื้อสายจีน จะมีความเชื้อถือศรัทธามาก ก่อนออกเรือหาปลาทุกครั้งจะต้องมีการจุดประทัดเป็นการเซ่นไหว้สักการะทุกครั้ง

      กล่าวกันว่าในสมัยนั้นมีการพบแผ่นไม้แกะสลักคล้ายเทวรักษ์ลอยน้ำมาขึ้นที่คลองลัดป้อมใกล้กับป้อมวิเชียรโชฎกไม่ไกลจากที่ตั้งศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาครในปัจจุบันมากนัก ชาวบ้านจึงอันเชิญไปประดิษฐานไว้บนตลิ่ง จากนั้นจึงสร้างเพิงหลังคามุงจากหลังเล็กๆ ให้ผู้คนที่ผ่านไปมาทั้งทางน้ำและทางบกได้สักการะบูชา เมื่อมีผู้มาบูชาบนบานสาลกล่าว ปรากฏว่ามีหลายคนประสพความสำเร็จสมหวังจนเป็นที่เลื่องลือของชาวบ้าน ต่อมาได้พร้อมใจกันสร้างศาลเจ้าขนาดใหญ่ขึ้นตรงบริเวณกำลังเมืองเก่า ซึ่งใช้เป็นป้อมปราการริมน้ำในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยป้อมแห่งนี้มีพระวิเชียรโชตินายทหารใหญ่เจ้าเมืองสาครบุรีเป็นผู้ปกครอง และบังคับบัญชาป้อม ต่อมาเมื่อท่านเจ้าเมืองเสียชีวิต ชาวบ้านเล่าว่าวิญญาณของท่านมาสถิต ณ ศาลตรงป้อมปราการแห่งนี้ด้วย

      ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร มีชื่อเดิมที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า "ศาลเทพเจ้าจอมเมือง ตั้งอยู่บริเวณต้นศรีมหาโพธิ์ ด้านหลังที่ว่าการอำเภอเมืองหลังเก่า ภายในบริเวณป้อมวิเชียรโชฎก ในปัจจุบันศาลเจ้าหลังดังกล่าวไม่ปรากฏร่องรอยเหลืออยู่แล้ว การเริ่มสร้างศาลหลักเมืองสมุทรสาคร แทนศาลเดิมได้เกิดขึ้นประมาณ พ.ศ.๒๔๖๐-๒๔๖๑ โดยพระยาสาครคณาถิรักษ์ เจ้าเมืองสมุทรสาคร หลวงอนุรักษ์นผดุงนายอำเภอเมืองสมุทรสาคร และขุนสมุทรมณีรัตน์ กำนันตำบลท่าฉลอม ได้ดำเนินการบอกบุญขอบริภาคจากเช้าสมุทรสาคร ผู้มีจิตศรัทธา จนสามารถรวบรวมเงินทุนสร้างศาลขึ้นมาใหม่ ตามแบบที่ขอมาจากกรมศิลปกร แต่การก่อสร้างศาลครั้งนั้นไม่สำเร็จสมบูรณ์ ยังขาดช่อฟ้า  ใบระกา เนื่องจากเงินทุนที่ประชาชนบริจาคไม่เพียงพอ ดังนั้น อีกสองปีต่อมา ขุนสมุทรมณีรัตน์ ขุนเชิดมหาชัย และนายยงกุ่ย หทัยธรรมทั้งสามท่านจึงร่วมกันออกเงินส่วนที่เหลือจนสร้างศาลเสร็จเรียบร้อยเมื่อการก่อสร้างศาลเสร็จสมบูรณ์แล้ว ทางราชการให้ขุนสมุทรมณีรัตน์เป็นประธาน ประกอบด้วยกรรมการจากฝ่ายราชการ พ่อค้า คหบดี ใน จังหวัดสมุทรสาคร เป็นผู้ควบคุมดูแลกิจการของศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร

 


 ไฟล์:ป้อมวิเชียรโชฎก 03.jpg - วิกิพีเดีย

ป้อมวิเชียรโชฎก ตามรอยอดีต (พยุง  ผ่องสุขสวัสดิ)

ป้อมวิเชียรโชฎก ณ ศกนี้          ย้อนอดีตอีกทีจะดีไหม

  มีที่มาที่เห็นเป็นอย่างไร                    หากสนใจอ่านต่อขอเชิญชวน

                   ท่านผู้รู้หรือกูรูในปัจจุบันกล่าวไว้ว่า ถ้าจะดูปัจจุบันให้ย้อนกลับไปดูอดีต ด้วยอดีตเป็นแม่บทแห่งปัจจุบันร่องรอยแห่งอดีตสืบมาจนถึงปัจจุบันเป็นประจักรพยานสำคัญที่มิอาจภาคเสธได้ สมดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันที่ตรัสไว้ว่า "อิฐเก่าๆ แผ่นเดียวก็มีค่า ควรจะช่วยกันรักษาไว้ และกล่าวถึงทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ที่ปราสาทเขาพนมรุ้งว่า "โบราณสถาน โบราณวัตถุ เป็นเกียรติของประเทศชาติการรักษาวัฒนธรรมคือการรักษาชาติ และการรักษามรดกไทยเป็นการรักษาชาติ

                   ก่อนอื่นใคร่ขอทราบว่า ท่านเป็นคนถิ่นนี้หรือป่าว ท่านเป็นคนมหาชัยใช่ไหม จะใช่หรือไม่ใช่ก็ตาม ท่านรู้จักป้อมวิเชียรโชฎกไหมที่อยู่ใกล้ๆ กับศาลเจ้าพ่อหลักเมืองนั่นแหละ เมื่อใดที่ท่านเข้าไปกราบคารวะเจ้าพ่อหลักเมืองที่ศาลเดิม และหลักเมืองที่ศาลหลักเมืองใหม่ที่อยู่ถัดไป ไม่ไกลจากศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเท่าใดนักเมื่อมองไปจะเห็นกำแพงและป้อมโบราณที่ทาสีขาวเอาไว้ นั่นแหละเป็นป้อมปราการสำคัญแต่โบราญ

                   ป้อมวิเชียรโชฎกนี้ จากการค้นคว้าจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ โดยเฉพาะหนังสือที่หลวงวิจิตรการ เขียนไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์สากล เล่ม ๓ ว่า เดิมป้อมนี้นั้นคงจะเป็นป้อมที่สร้างขึ้นไว้กำบังข้าศึกบริเวณปากอ่าวแม่น้ำท่าจีน ในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์แห่งกรุงศรีอยุธยา ที่ยกฐานะบ้านท่าจีนขึ้นเป็นเมืองสาครบุรี เพื่อใช้ระดมพลแถบหัวเมืองชายทะเล (พ.ศ.๒๐๙๙) และในหนังสือชื่อเดียวกันเล่มที่ ๗  ยังกล่าวถึงการเดินทางของมองซิเออร์ เซเบเรต์ เอกอัคราชทูตฝรั่งเศสตอนเดินทางผ่านบ้านท่าจีน เมื่อ ๑๗-๑๘ ธันวาคม ๒๒๓๐ ว่า "ที่เมืองนี้มีป้อมเล็กๆอยู่ป้อมหนึ่ง ก่อด้วยอิฐและกำแพงนั้นสูงราว ๑๐ ฟุต แต่หามีคูหรือประตูไม่มีแต่ห่อรบและมีปืนทองเหลืองขนาดเล็ก แสดงให้เห็นว่าเมืองสาครบุรีนั้นแม้จะเป็นเมืองเล็ก แต่ก็เป็นเมืองท่าสำคัญในการติดต่อค้าขายกับต่างชาติ จนถึงกับมีป้อมปืนคอยระวังคุ้มภัย และเป็นเมืองหน้าด่าน ป้องกันศัตรูทางทะเล และป้อมนี้ได้รับการบูรณะซ่อมแซมใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งโปรดเกล้าฯให้พระยาโชฎกราชเศรษฐี ได้จัดสร้างขึ้น แล้วโปรดเกล้าฯให้ชื่อว่า "ป้อมวิเชียรโชฎกดังที่เราเห็นอยู่ในขณะนี้ เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น สมัยหนึ่งในบริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอำเภอเมืองฯเรือนจำ และสำนักงานที่ดินจังหวัดที่ยังอยู่จนถึงบัดนี้ และน่าจะได้รับการซ่อมแซมและอนุรักษ์ไว้อย่างยิ่ง จะได้เหมือนกับกับกำแพงที่ติดกับป้อมนี้ที่อนุรักษ์ไว้เหมือนกับป้อม ที่กรมศิลปกรได้ขึ้นทะเบียนไว้เป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ

                  ที่น่าสนใจก็คือกำแพงป้อมก่อด้วยปูน กว้างประมาณศอกเศษ สูงประมาณ ๖ ศอก ไม่มีป้อมยามมีแต่หอรบ มีปืนบรรจุตามช่องเป็นปืนโบราณ แต่ละช่องกว้างประมาณ ๕ เมตร ปืนที่บรรจุอยู่ที่ตามช่องหล่อด้วยเหล็กทั้งท่อน ที่กระบอกมือแต่ละกระบอกมีสัญลักษณ์เป็นรูปมงกุฎราชวงษ์อังกฤษ มีอังษร GRอยู่ใต้มงกุฎนั้น และสลักคำว่า BACONไว้ทุกกระบอก ปัจจุบันนี้ทางเทศบาลนครสมุทรสาคร ได้นำไปตั้งไว้หน้าที่ทำการ ๒ กระบอก และอยู่หน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมือง นอกจากนี้ยังอยู่ตามช่องกำแพงอีกส่วนหนึ่งท่านไปดูมาแล้วหรือยัง       

 

 


 นั่งเรือชม วาฬบรูด้า ยักษ์ใหญ่ใจดีแห่งทะเลอ่าวไทย

ททท. ขอเชิญเที่ยวงานเทศกาลปลาทูอร่อยที่ท่าฉลอม ครั้งที่ 12 “ตอน  เสริมสร้างเศรษฐกิจชุมชน” ประจำปี 2562 - ThaiReport Channel

ปลาทูนึ่ง เข่งละ 25##1 • จืด มัน ไม่เค็ม ไซส์ M ค่ะ ร้าน ปลาทูนึ่งแม่กลอง  เจ๊หน่อย ตลาดปากทางหมู่บ้านเศรษฐกิจ - Wongnai

 

                  ในปัจจุบันนี้ ผู้คนต้องทำงานหนัก ทำให้เกิดภาวะเครียด ขณะที่บางคนรับประทานอาหารแต่ละมื้อไม่ครบ 5 หมู่ ประกอบกับมลพิษที่อยู่ในอากาศ เกิดอนุมูลอิสระขึ้นในร่างกายส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ เพิ่มมากขึ้นกว่าในอดีต ดังนั้น วิตามินและอาหารเสริมจึงเริ่มเข้ามามีบทบาทกับชีวิต โดยเฉพาะโอเมก้า 3 ที่มีอยู่ในน้ำมันปลา ที่หลายๆคนรู้จัก เนื่องจากโอเมก้า 3 เป็นไขมันประเภทไม่อิ่มตัว มีประโยชน์ในเรื่องลดอัตราการตายจากโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดตีบ และยังลดคอเลสเตอรอลไตรกลีเซอไรด์ ตลอดถึงยังลดความเหนืดของเลือด ลดการอักเสบ รวมทั้งสร้างความสมดุลและปรับระดับเลือดในร่างกายให้อยู่ในภาวะปกติได้

                   ทั้งนี้ ปัญหาก็คือสารอาหารเหล่านี้มีอยู่ในปลาทะเลน้ำลึกซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในเขตหนาว อย่างปลาแซลมอน และปลาเม็คเคเรล ทำให้ราคาของปลาเหล่านี้เมื่อนำมาจำหน่ายในเมืองไทยมีราคาค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ย่อมมีทางแก้ไข โดยให้คนไทยหันมารับประทานปลาทูทดแทน เพราะในปลาทูจะมีโอเมก้า 3 ค่อนข้างมาก ที่สำคัญราคาไม่แพง และซื้อมารับประทานได้ง่าย โดยในเนื้อปลาทู 100 กรัม มีสารโอเมก้า 3 ประมาณ 2-3 กรัม ซึ่งในปกติในหนึ่งวันร่างกายต้องการโอเมก้า 3 ประมาณวันละ 3 กรัมต่อวัน สรุปง่ายๆ ก็คือกินปลาทู วันละ 2 ตัว จะช่วยลดภาวะการเสื่อมสังขารก่อนวัยอันสมควรได้ก็เพราะปลาทูมีสารอาหารที่ช่วยต้านแอนตี้ออกซิแดนซ์หรืออนุมูลอิสระได้

                   ปลาทู เป็นปลาไทยแท้ เป็นปลาทะเลผิวน้ำ รูปร่างป้อมแบนมีถิ่นกำเนิดบริเวณอ่าวไทย ในเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคมจะพบปลาทูตัวเล็กขนาดปลาซิวอยู่ในจังหวัดชุมพร และในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ปลาทูจะค่อยๆโตขึ้นเรื่อยๆ (เรียกว่าปลาทูสาว) และจะโตเต็มที่เมื่อมาถึงอ่าวแม่กลองและอ่าวมหาชัย ปลาทูจะมีไข่เต็มท้อง ก็อยู่ในระหว่างเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์ สำหรับใครชอบกินปลาทูที่มีไข่ก็ต้องกินระหว่างเดือนที่ว่านี้ ปลาทูนั้น จะมัน หวาน มีรสชาติอร่อย

                   ท่าฉลอม เป็นตำบลหนึ่งในอำเภอเมืองสมุทรสาครซึ่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เสร็จประพาสตำบลท่าฉลอม และได้ทรงดำริให้จัดตั้งสุขาภิบาลขึ้น ซึ่งเป็นสุขาภิบาลแห่งแรกของประเทศไทย เมื่อ ปี พ.ศ. 2448 ปัจจุบัน อยู่ในเขตการปกครองของเทศบาลนครสมุทรสาคร ท่าฉลอมเป็นชุมชนชาวประมงขนาดใหญ่ หรือที่หลายคนเรียกหมู่บ้านชาวประมง ผู้คนส่วนมากจึงประกอบอาชีพประมงและทำประมงต่อเนื่องโดยมีตลาดร้านค้าขายอาหารทะเลและกิจการต่อเรือตั้งเรียงรายอยู่บนฝั่งริมแม่น้ำท่าจีนเป็นจำนวนมาก

                   ในส่วนของปลาทูสมุทรสาคร ทำไมจึงต้อง "หน้าเริ่ด เชิดหยิ่ง รูปร่างลักษณะของปลาทูนั้นคนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี หลายคนบอก ปลาทูหน้างอคอหักอยู่ที่แม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม (เพราะมันงอตัวอยู่ในเข่งตลอดเวลา) แต่บางคนบอกปลาทูสมุทรสาคร ต้องหน้าเริ่ด เชิดหยิ่ง เพราะมันเป็นปลาทูที่มีรูปร่างทรนง และองอาจ ที่สำคัญปลาทูสมุทรสาครมีรสชาติอร่อย

 

10 กรกฎาคม 2556 | จำนวนเข้าชม 11238 ครั้ง